ท่านผู้เยี่ยมชมที่
Free Hit Counters
สมุดเยี่ยมจ๊ะ
สมุดเยี่ยมชม
E-Mail to Benji
Thank you

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

สภาพอากาศ

ลิงค์ดีๆ อยากแนะนำ

คู่มือHAM

ข้อสอบHAM

 

นครรัฐวาติกัน (State of the Vatican City)

ตั้งอยู่ในกรุงโรมประเทศอิตาลี เป็นที่ประทับของ ซึ่งเป็นประมุขสูงสุดแห่งศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก นครรัฐวาติกันจัดว่าเป็นประเทศ ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ศูนย์กลางคือ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ออกแบบโดยมีเกลันเจโล

การปกครองเป็นแบบอำนาจเบ็ดเสร็จ อำนาจตกอยู่ที่พระสันตะปาปาเพียงผู้เดียว จะหมดวาระก็ต่อเมื่อสิ้นพระชนม์ พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16
 

สิ่งที่น่าสนใจอันดับหนึ่งก็คือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และลานด้านหน้า จักรพรรดิคอนสแตนตินที่รับเชื่อศาสนาคริสต์ได้สร้างวิหารขึ้นที่ตรงนี้เป็นครั้งแรกในคริสตศตวรรษที่ 4 แต่วิหารก็เสื่อมโทรมและพังทลายลง จนอีกหนึ่งพันปีต่อมาได้มีการสร้างมหาวิหารหลังปัจจุบันขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินหลายท่าน แต่ส่วนใหญ่จะให้เครดิตแก่มิเคลันเจโลที่มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างโดยเฉพาะยอดโดมที่สวยงาม 

ส่วนลานขนาดมหึมาด้านหน้ากลับเป็นผลงานของศิลปินรุ่นหลังที่ชื่อแบร์นินี (Bernini) ผู้ออกแบบน้ำพุต่าง ๆ รอบกรุงโรม เชื่อกันว่าตัวมหาวิหารสร้างบนที่ซึ่งเซนต์ปีเตอร์หรือที่รู้จักในบ้านเรา ว่านักบุญเปโตรถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนแบบกลับหัวลงในยุคโรมันโบราณ 

ลานแห่งนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าปิแอสซ่า ซานพิเอโตร (Piazza San Pietro) สร้างเป็นรูปวงรีล้อมรอบด้วยเสา 284 ต้น บนหลังคามีรูปปั้นของนักบุญ 96 องค์ กลางลานมีเสาโอบิลิสก์ (Obelisk) อายุเก่าแก่กว่า 2000 ปี ลานแห่งนี้ในช่วงพิธีสำคัญทางคริสต์ศาสนาจะเป็นที่ชุมนุมของศาสนิกชนจากที่ ต่าง ๆ ทั่วโลก 

ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่ต้องผ่านกระบวนการตรวจตราอย่างละเอียด ร่วมเรื่องการแต่งกายที่สุภาพด้วย และจะไม่อนุญาตนักท่องเที่ยวนุ่งขาสั้นเหนือเข่าและเสื้อแขนเดี่ยวด้วยจ๊ะ  แล้วถ้าไปในช่วงฤดูท่องเที่ยวหรือเทศกาลสำคัญทางศาสนาก็ต้องต่อแถวยาวมาก 

สิ่งสำคัญภายในตัววิหารคือรูปประติมากรรมหินอ่อนอันมีชื่อเสียงของมิเคลันเจโล่ชื่อว่า Pieta ซึ่งเป็นรูปของพระแม่มารีประคองร่างของพระเยซูหลังจากสิ้นพระชนม์บนกางเขนไว้บนตัก เป็นรูปแกะสลักซึ่งสื่อถึงอารมณ์ความรักของแม่ได้อย่างลึกซึ้ง 

ประวัติความเป็นมาหลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายลง ดินแดนอิตาลีได้ถูกแบ่งแยกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย มีการปกครองแบบนครรัฐอย่างยาวนานเป็นเวลากว่าพันปี กรุงโรมนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของศาสนจักรซึ่งมีพระสันตปาปาเป็นประมุข   ตอนที่มีการรวมประเทศเกิดขึ้น ทางกองทัพต้องการได้กรุงโรมเป็นเมืองหลวงเพราะความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์และศาสนา กองทัพของการิบัลดีสามารถยึดกรุงโรมได้ พระสันตปาปาจึงหลบหนีเข้าไปอยู่ในวาติกันและขังตัวเองอยู่ในนั้นไม่ยอมออกมาร่วมสังฆกรรมกับประเทศเกิดใหม่นี้  พระสันตปาปาในยุคนั้นขังตัวเองอยู่แต่ในวาติกันเป็นเวลายาวนานถึง 68 ปี จนกระทั่งมุสโซลินีเซ็นสัญญากับพระสันตปาปา  เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 นครรัฐวาติกันและอิตาลีได้ลงนามสนธิสัญญายอมรับสถานะของนครรัฐวาติกันเป็น รัฐเอกราชมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง ตั้งแต่ ค.ศ. 1960 นครรัฐวาติกันได้รับการจารึกให้เป็นดินแดนที่จะต้องได้รับการปกป้องรักษาไว้ เป็นพิเศษในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางอาวุธ (International Register of Cultural Works under Special Protection in Case of Armed Conflict) เนื่องจากเป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมของโลก มีหอสมุดอันเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 (the Apostolic Library of the Vatican) โดยการยินยอมให้นครรัฐวาติกันเป็นประเทศอิสระ มีอำนาจในการปกครองตนเอง ส่วนทางวาติกันก็ยอมรับประเทศอิตาลีนี้เป็นครั้งแรก
ทางวาติกันเองได้จัดตั้งกองทหารเล็กๆ ขึ้นมา เรียกว่าเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของพระสันตปาปา เรียกว่า Swiss guards มีประมาณร้อยนาย ทหารพวกนี้เป็นชาวสวิสทั้งหมด (เรื่องอะไรจะเอาทหารอิตาลีมาเป็นบอดี้การ์ด เดี๋ยววันดีคืนดีรัฐบาลเปลี่ยนใจคิดจะรวมประเทศก็เสร็จน่ะสิ ว่าแล้วก็เอาชายหนุ่มจากสวิสซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลางมาตลอดมาเป็นทหารคุ้มครองดีกว่า) กองทหารนี้จัดตั้งขึ้นราวคริสตศตวรรษที่ 15 และทหารในยุคปัจจุบันก็ยังคงแต่งกายในเครื่องแบบย้อนยุคเหมือนในสมัยยุคกลางอยู่ สำหรับนักท่องเที่ยวเห็นแล้วก็แปลกตาดี อยากจะเข้าไปถ่ายรูปด้วย ใครไปขอถ่ายรูปด้วยจะโดนตะเพิดออกมาทันที เพราะเขาถือว่าเขาเป็นทหารไม่ใช่ตัวตลกในละครสัตว์ ใครจะถ่ายก็ต้องแอบถ่ายโดยดึงซูมเข้าไปเอง

พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican museum)  เป็นที่รวมของงานศิลปะระดับโลกมากมาย มีทั้งมัมมี่และงานประติมากรรมจากอียิปต์ รูปแกะสลักหินอ่อนจากยุคกรีกโรมันโบราณ รวมทั้งภาพวาดแบบเฟรสโก้จากศิลปินชื่อดังโดยเฉพาะมิเคลันเจโลและราฟาเอล

ภาพวาดเฟรสโก้ภาพนี้เป็นหนึ่งในผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ชื่อว่า School of Athens เป็นผลงานของราฟาเอล เขาวาดภาพนี้ขึ้นมาจากจินตนาการโดยการนำนักคิด นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของกรีก มารวมไว้ในภาพเดียวกัน เช่น พลาโต้ อริสโตเติล ยุคลิด พิธากอรัส พโตเลมี อาร์คิมีดิส ซึ่งในชีวิตจริงอาจจะอยู่คนละยุคคนละสมัย แต่มารวมกันได้ในจินตนาการของราฟาเอล ผู้ซึ่งวาดภาพนี้ในวัยหนุ่มเพียง 27 ปี  ศูนย์กลางของภาพนี้แสดงถึงนักปรัชญากรีกที่สำคัญ 2 ท่านคือพลาโต้และอริสโตเติ้ล ท่านหลังเป็นลูกศิษย์ของท่านแรก แต่เสนอแนวคิดเชิงปรัชญาแตกต่างกัน ให้สังเกตว่าพลาโต้ชี้นิ้วขึ้นฟ้าและอริสโตเติ้ลคว่ำฝ่ามือลงดิน
เนื่องจากว่าในสมัยที่ราฟาเอลวาดรูปนี้ เป็นเวลากว่าสองพันปีหลังยุคของนักปรัชญาเหล่านี้ เขาจึงใช้หน้าตาของศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นเป็นแบบให้กับนักปรัชญาหลายๆ คน เช่นรูปนี้ว่ากันว่าหน้าพลาโต้จริงๆ คือหน้าของลีโอนาร์โด้ ดาร์วินชี

ห้องซิสทีน (Sistine Chapel) นี้ใช้เป็นที่ประชุมของพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกพระสันตปาปาองค์ต่อไป และจะไม่มีใครออกจากห้องนี้จนกว่ากระบวนการเลือกจะเสร็จสิ้นลง แต่สิ่งที่คนเข้ามาชมคือภาพวาดเฟรสโก้ฝีมือของมิเคลันเจโล พระสันตปาปาจูเลียสที่สองได้ว่าจ้างศิลปินชาวฟลอเรนซ์ผู้นี้ให้วาดภาพเฟรสโก้บนเพดานของห้องนี้ มิเคลันเจโลใช้เวลาถึง 4 ปีกินนอนอยู่บนนั่งร้านเพื่อวาดภาพปูนเปียกเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปฐมกาล (Genesis) ตั้งแต่การสร้างโลก สร้างมนุษย์เพศชาย (Adam) สร้างมนุษย์เพศหญิง (Eve) จากซี่โครงของผู้ชาย อีฟทรยศต่อพระเจ้าจนถูกขับออกจากสวนอีเดน และภาพน้ำท่วมโลก รวมทั้งหมด 9 ภาพ

ภาพ The Creation เป็นฉากที่พระเจ้าสร้างอาดัม มนุษย์คนแรกขึ้นมา
เป็นภาพที่คุ้นๆ ใช้เปล่า? มองเห็นไหมว่าอยู่ตรงไหน.. 

4 ปีต่อมา มิเคลันเจโลได้ถูกว่าจ้างให้กลับมาวาดภาพที่ห้องนี้อีกครั้ง เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชื่อว่า วันพิพากษา (The Last Judgement) เป็นภาพที่เมื่อถึงวันสิ้นสุดโลก พระเจ้า (พระเยซูในรูป) จะเสด็จกลับลงมาและพิพากษามนุษย์แต่ละคนว่าใครควรจะขึ้นสวรรค์ ใครควรจะลงนรก ภาพนี้อยู่บนผนังกำแพงด้านหนึ่งเต็มๆ ของห้อง



[aktuelle Uhrzeit]
Heute waren schon 25 Besucher (46 Hits) hier!
Diese Webseite wurde kostenlos mit Homepage-Baukasten.de erstellt. Willst du auch eine eigene Webseite?
Gratis anmelden